วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

FAMOUS PERSON

มิยาโมโต้ มุซาชิ

เกิดที่ต่างจังหวัดที่ห่างไกลความเจริญมากๆจังหวัดที่อยู่ว่าห่างไกลความเจริญแล้วแต่ที่ที่อาศัยอยู่ห่างไกลความเจริญยิ่งกว่าไม่มีร้านค้าขายของหรือร้านขายอาหารสักร้านแค่ร้านนํ้าชายังไม่มีใครคิดจะเดินทางไปที่นั่นแล้วไม่พกอาหารมาด้วยมีหวังตายอยู่กลางทางรอบๆมีแต่ป่ากับภูเขาและทุ่งนาบ้านคนก็มีไม่กี่หลังเรียกได้ว่าที่นี่เป็นต่างจังหวัดของต่างจังหวัดชื่อเดิมมีชื่อว่าชินเม็ง ทาเคโซตอนเด็กๆพ่อได้สอนศิลปะการต่อสู้ให้เล็กน้อยชีวิตช่วงวัยเด็กของทาเคโซเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันวันๆทาเคโซก็ไปวิ่งเล่นใช้เวลาอยู่บนภูเขาไปวันๆไม่ได้ไปเล่นกับเด็กอื่นๆในหมู่บ้านเหมือนเด็กคนอื่นๆคาดว่าในวัยเด็กทาเคโซมีเพื่อนไม่ถึง5คนแน่นอนหรืออาจจะมีไม่ถึง3คนด้วยซํ้าพออายุเข้าช่วงวัยรุ่นประมาณ15-17ทาเคโซไปเข้าร่วมกองทัพเป็นทหารของขุนนางในประเทศคนนึงและถูกส่งไปร่วมทําสงครามตอนเข้าสู่สนามรบทาเคโซมีตําแหน่งเป็นพลทหารเดินเท้าถือหอกหลังจากสงครามเริ่มขึ้นและสู้รบกันไปสักพักผลออกมาว่ากองทัพของขุนนางฝ่ายที่มุซาชิสังกัดพ่ายแพ้ตอนที่กองทัพฝ่ายตรงข้ามกําลังไล่ฆ่าทหารฝ่ายที่แพ้มุซาชิได้ต่อสู้เพื่อเอา ชีวิตรอด จากทหารฝ่ายตรงข้ามหนีไปฆ่าไปจนหนีกลับมาบ้านเกิดอันสุดแสนจะห่างไกลความเจริญได้หลังจากกลับมาถึงบ้าน เกิดนอนเล่นได้สัก พักมุซาชิได้ตัดสินใจออกเดินทางท่องเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อฝึกปรือวิชาดาบระหว่าง ที่เดินทางได้ฆ่าคนไปมากมายทั้งโจรป่า โจรภูเขา โรนินยามว่างที่มุซาชิไม่ได้ฆ่าคนเขาก็แกะสลักพระพุทธรูปไม้เล่นๆฆ่าเวลาจากนั้นมุซาชิได้ไปแวะตามสํานักดาบต่างๆตามทางที่ตนเองผ่านแล้วก็ จัดการถล่ม สํานักเข้าไปฆ่าพวกฝึกวิชาในสํานักดาบต่างๆพวกสํา นักวิชาอื่นก็แวะไปเช่นสํานักหอกการถล่มสํานักครั้งสําคัญของมุซาชิคือการถ ล่มสํานักโยชิโอกะที่เล่าเลือไปทั้งจังหวัดจนลามไปถึงจังหวัดอื่นหลังจาก เรื่องในครั้งนั้นมุซาชิก็ได้ออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วญี่ปุ่นฝีมือของมุซาชิได้เก่งกาจขึ้นมากจนถึงขั้นถ้าเป็นนักดาบปกติเขาจะฆ่าได้ในดาบเดียวโดยไม่ต้องประดาบและฆ่านักสู้โรนินซามูไรโจรป่าโจรภูเขาตามทางและแวะสํานักต่อสู้เพื่อถล่ม สํานักในทางที่ผ่านผู้คนพากันสรรเสริญมุซาชิจนได้ชื่อว่าเป็นนักดาบอันดับ หนึ่งของญี่ปุ่น(ยุคเซ็นโกกุ)ด้านฝีมือและความสง่างามในชัยชนะของมุ ซาชิต่างกับพวกชินเซ็นกุมิอย่างมากๆพวกชินเซ็นกุมิเป็นกลุ่มซามูไรที่ค่อนข้างจะชั่วช้าถ้าเปรียบเปรยมุซาชิเป็นเหยี่ยวชินเซ็น กุมิคือลูกไก่มุซาชิท่องเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียว(หรืออาจจะเพราะไม่ค่อยมีเพื่อน)พวกชินเซ็นกุมิไปไหนมาไหนเป็น ขโยง(สําหรับคนไม่รู้จักพวกชินเซ็นกุมิพวกชินเซ็นกุมิไม่เคยมีความสง่า งามในชัยชนะเลยสักนิดงานถนัดพวก ชินเซ็นกุมิมันก็คือฆ่าคนตอนนอนหลับเวลาพวกมันฆ่าคนมันจะฆ่าโดยมีพวกมัน4ต่อศัตรู1หรือ6ต่อ1ฆ่าคน ไม่ได้ถือดาบฆ่าคนตอนเมาฆ่าคนตอนอิ่มฆ่าคนตอนบาดเจ็บฆ่าคนตอนป่วยฆ่าคนตอนแขน หักฆ่าคนตอนขาหักคนแขนขาดถือดาบไม่ได้มันยังต้องรุม4ต่อ1มีโรนิน1คนเดินผ่านเมืองที่พวกมันอยู่พวกมันก็ไปหาว่าโรนินคนนั้นเป็นสมาชิกของพวกต่อต้านรัฐบาลแล้วก็พาพรรคพวกในกลุ่มชินเซ็นกุมิเป็น10ๆคนไปฆ่าเขาเพื่อเอามาเป็นผลงานรับรางวัลจากทางรัฐบาลพวกชินเซ็นกุมิเห็นผู้หญิงสวยก็ไปจับกุมผู้หญิงแล้วบอกว่าผู้หญิงสมคบกับพวกต่อต้านรัฐบาลแล้วก็เอาตัวผู้หญิงไปข่มขืน)
หลายคนคงจะเถียงว่าทําไมฉันถึงไม่ชื่นชอบชินเซ็นกุมิพวกชินเซ็นกุมิมีชื่อเสียงโด่งดังมีคนยกย่องถึงขนาดมีการทํารูปปั้นให้พวกชินเซ็นกุมิฉันจะบอกอะไรให้อย่างนึงที่จริงพวกชินเซ็นกุมิไม่ได้เก่งกาจจนทําให้ตัวเองโด่งดังแถมพวกชินเซ็นกุมิมีพฤติกรรมชั่วช้าการที่มีการยกย่องพวกชินเซ็นกุมิเป็นเพราะพวกชินเซ็นกุมิทํางานรับใช้ราชวงศ์ญี่ปุ่นจนตายเลยได้รับการยกย่องเชิดชูส่งเสริมผลักดันป่าวประกาศจากพวกราชวงศ์ญี่ปุ่นจนจะดังกว่ามิยาโมโต้ มุซาชิแล้วแต่พวกนี้ไม่ได้โด่งดังเพราะความเก่งกาจ
เพลงดาบของมุซาชิ ที่ใช้ฆ่าคนจนได้รับการขนานนามว่า เป็นนักดาบอันดับหนึ่งของแผ่นดินเป็นเพลงดาบแบบไม่มีตํารับใดๆทั้งสิ้นมุซา ชิไม่ได้ไปฝึก เรียนวิชาดาบจากพวกสํานักดาบที่มีอยู่ในตอนนั้นแม้แต่สํานักเดียวแต่อาศัย การฟันดาบฆ่าคนไปเรื่อยๆเพื่อเอาชีวิต รอดพอฆ่าคนได้มากๆก็ค่อยๆชํานาญในการฆ่าคนมากขึ้นๆยิ่งฆ่ายิ่งรู้สึกเก่ง ขึ้นด้วยความที่เป็นวิชาไม่มี ตํารับมุซาชิจึงทําสิ่งแปลกใหม่ในสมัยนั้นหรืออาจจะคนแรกของประเทศคือการถือ ดาบ2เล่มเข้าต่อสู้กับศัตรูจนทําให้ศัตรูที่ได้พบเกิดอาการงงเพราะไม่เคย เห็นใครทําแบบนี้กันและหลังจากนั้นต่อมาถ้ามีคนที่ถือดาบ2เล่มสู้กับคนอื่น อาจถูกขับไล่ออกจากสํานักโดยบอกว่าไม่ใช่ตํารับของเรา(ที่จริงอาจจะเป็น เพราะอิจฉาริษยามุซาชิที่เป็นผู้ใช้ดาบ2เล่ม)หลังจากมุซาชิฆ่าคนไปสักพักก็ เริ่มรู้สึกมันง่ายไปเขาจึงหันมาใช้ไม้สู้กับศัตรูถึงศัตรูจะบอกให้ใช้ดาบ เขาก็ยังใช้ไม้สู้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น